วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขนมมงคล 9 อย่าง

ขนมมงคล 9 อย่าง


    “ขนมไทย” เอกลักษณ์ของความเป็นไทย นอกจากจะมีความงดงามวิจิตร ละเอียดอ่อน
 พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการทำแล้ว ยังมีรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นพืชพรรณจากธรรมชาติ
 และกลิ่นอบร่ำควันเทียน อีกทั้งขนมแต่ละชนิดยังมีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงคุณค่า
 และแฝงไปด้วยความหมายอันเป็นสิริมงคล
    คำว่า “มงคล”หมายถึง สิ่งที่นำมาซึ่งความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง
 ส่วน “ขนมมงคล”หมายถึง ขนมไทยที่นำไปใช้ประกอบเครื่องคาวหวาน ถวายพระ เลี้ยงแขก
 ในงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานบวช หรืองานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น 
โดยจะต้องเลือกใช้เฉพาะขนมไทยที่มีชื่อไพเราะและเป็นสิริมงคล ดังเช่น “ขนมมงคล 9 อย่าง”
1. ทองหยิบ    เป็นขนมมงคลชนิดหนึ่ง มีลักษณะงดงามคล้ายดอกไม้สีทอง ต้องใช้ความสามารถ
และความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในการประดิษฐ์ประดอย จับกลีบให้มีความงดงามเหมือนกลีบดอกไม้
 ชื่อขนมทองหยิบเป็นชื่อสิริมงคล เชื่อว่าหากนำไปใช้ประกอบพิธีมงคลต่างๆ
 หรือให้เป็นของขวัญแก่ใครแล้วจะทำให้เกิดความมั่งคั่งร่ำรวย หยิบจับการงานสิ่งใดก็จะร่ำรวย 
มีเงินมีทองสมดังชื่อ “ทองหยิบ
2. ทองหยอด    ใช้ประกอบในพิธีมงคลทั้งหลายหรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญๆ
แก่ผู้ใหญ่ที่เคารพรัก หรือญาติสนิทมิตรสหายแทนคำอวยพรให้ร่ำรวยมีเงินมีทอง
 ใช้จ่ายอย่างไม่รู้หมดสิ้นประดุจให้ทองคำแก่กัน
























3. ฝอยทอง    เป็นขนมในตระกูลทองที่มีลักษณะเป็นเส้น นิยมใช้กันในงานมงคลสมรส
 ถือเคล็ดกันว่าห้ามตัดขนมให้สั้น ต้องปล่อยให้เป็นเส้นยาวๆ เพื่อที่คู่บ่าวสาวจะได้ครองชีวิตคู่ 
และ รักกันได้อย่างยืนยาวตลอดไป























4. ขนมชั้น    เป็นขนมไทยที่ถือเป็นขนมมงคลและจะต้องหยอดขนมชั้นให้ได้ 9 ชั้น
 เพราะ คนไทยมีความเชื่อว่าเลข 9 เป็นเลขสิริมงคล หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า
 และ ขนมชั้นก็หมายถึง การได้เลื่อนชั้น เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป
5. ขนมทองเอก     เป็นขนมในตระกูลทองอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ความพิถีพิถัน
เป็นอย่างยิ่งในทุกขั้นตอนการทำมีลักษณะที่สง่างาม โดดเด่นกว่าขนมตระกูลทองชนิดอื่นๆ
 ตรงที่มีทองคำเปลว
 ติดไว้ที่ด้านบนของขนม คำว่า “เอก” หมายความถึง การเป็นที่หนึ่งการใช้ขนม
ทองเอกประกอบพิธีมงคลสำคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็นของขวัญในงานฉลองการเลื่อนยศ
 เลื่อนตำแหน่ง จึงเปรียบเสมือนคำอวยพรให้เป็นที่หนึ่งด้วย


















6. ขนมเม็ดขนุน
    เป็นหนึ่งในขนมตระกูลทองเช่นกัน มีสีเหลืองทอง รูปร่างลักษณะคล้ายกับเม็ดขนุน 
ข้างในมีไส้ทำด้วยถั่วเขียวบด มีความเชื่อกันว่าชื่อของขนมเม็ดขนุนจะเป็นสิริมงคล
ช่วยให้มีคนสนับสนุนหนุนเนื่องในการดำเนินชีวิตและในหน้าที่การงานหรือ กิจการต่างๆ
 ที่ได้กระทำอยู่



















7. ขนมจ่ามงกุฎ    เป็นขนมที่ทำยาก มีขั้นตอนในการทำสลับซับซ้อน นิยมทำกันเพื่อใช้ประกอบพิธีการที่สำคัญจริงๆ 
คำว่า “จ่ามงกุฎ” หมายถึง การเป็นหัวหน้าสูงสุด แสดงถึงความมีเกียรติยศสูงส่ง
 นิยมใช้เป็นของขวัญในงานเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ถือเป็นการแสดงความยินดีและ
อวยพรให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานยิ่งๆ ขึ้นไป

















8. ขนมถ้วยฟู    ให้ความหมายอันเป็นสิริมงคล หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู 
นิยมใช้ประกอบในพิธีมงคลต่างๆทุกงาน เคล็ดลับของการทำขนมถ้วยฟู
ให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานนั้น คือการใช้น้ำดอกไม้สดเป็นส่วนผสมและ
การอบร่ำด้วยดอกมะลิสดในขั้นตอนสุดท้ายของการทำ





















9. ขนมเสน่ห์จันทน์    “จันทน์” เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีผลสุกสีเหลืองเปล่งปลั่งทั้งสวยงาม

และมีกลิ่นหอมชวนให้หลงใหลคนโบราณจึงนำ ความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกต์ทำเป็นขนม 
และได้นำ “ผลจันทน์ป่น” มาเป็นส่วนผสมทำให้มีกลิ่นหอมเหมือนผลจันทน์
 ให้ชื่อว่า “ขนมเสน่ห์จันทน์” โดยเชื่อว่าคำว่า เสน่ห์จันทน์ เป็นคำที่มีสิริมงคลจะทำให้มีเสน่ห์
 คนรักคนหลงดังเสน่ห์ของผลจันทน์ขนมเสน่ห์จันทน์จึงถูกนำมาใช้ประกอบในงานพิธีมงคลสมรส

ชนิดของขนมไทย

ชนิดของขนมไทย



ขนมหวานไทย จะมีความหวานนำ หรือมีความหวานจนรู้สึกในลิ้นของผู้รับประทานการทำขนมหวานไทยเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและฝึกฝน  ต้องใช้ศิลปะ วิทยาศาสตร์และความอดทน และความเป็นระเบียบ ความพิถีพิถันในการประกอบ ขนมไทยแท้ ๆ ต้องมีกลิ่นหอม หวาน มัน มีความประณีต ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม จนกระทั่งวิธีการทำ
            ขนมไทย สามารถจัดแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ตามลักษณะของเครื่องปรุง ลักษณะกรรมวิธีในการทำ  และลักษณะการหุงต้ม คือ
    
    1. ขนมประเภทไข่ เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ฯลฯ
 
    2. ประเภทนึ่ง
เช่น ขนมชั้น ขนมสาลี่ ขนมน้ำดอกไม้ ขนมทราย ฯลฯ

    3. ขนมประเภทต้ม เช่น ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว มันต้มน้ำตาล ฯลฯ

    4. ขนมประเภทกวน เช่น ขนมเปียกปูน ซ่าหริ่ม ขนมตะโก้ ฯลฯ

    5. ขนมประเภทอบและผิง เช่น ขนมดอกลำดวน ขนมบ้าบิ้น ขนมหน้านวล ฯลฯ

    6. ขนมประเภททอด เช่น ขนมกง ขนมฝักบัว ขนมสามเกลอ ฯลฯ

    7. ขนมประเภทปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง ขนมจาก ฯลฯ

    8. ขนมประเภทเชื่อม เช่น กล้วยเชื่อม สาเกเชื่อม ฯลฯ

    9. ขนมประเภทฉาบ เช่น เผือกฉาบ กล้วยฉาบ มันฉาบ ฯลฯ

    10. ขนมประเภทน้ำกะทิ เช่น เผือกน้ำกะทิ ลอดช่องน้ำกะทิ ฯลฯ

    11. ขนมประเภทน้ำเชื่อม เช่น ผลไม้ลอยแก้ว วุ้นน้ำเชื่อม ฯลฯ

    12. ขนมประเภทบวด เช่น กล้วยบวดชี แกงบวดเผือก ฯลฯ
 

    13. ขนมประเภทแช่อิ่ม เช่น มะม่วงแช่อิ่ม มะเขือเทศแช่อิ่ม สะอนแช่อิ่ม ฯลฯ

ตำนานและประวัติความเป็นมาของขนมไทย

ตำนานและประวัติความเป็นมาของขนมไทย




                    คนไทยในสมัยโบราณยังไม่รู้จักคำว่า "ขนม" ซึ่งเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่กับข้าว แต่เป็นของกินหลังอาหาร หรือกินเล่น มีรสชาติหวานมัน อร่อยถูกปาก เพราะปรุงจาก แป้ง ไข่ กะทิ และน้ำตาล เชื่อกันว่าผู้ประดิษฐ์คิดขนมไทยออกมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยม กันอย่างกว้างขวางสืบต่อมาจนทุกวันนี้มีชื่อว่า "ท้าวทองกีบม้า" ท้าวทองกีบม้ามีชื่อเต็มว่า "มารี กีมาร์ เด ปนา" มารีกีมาร์แต่งงานกับ คอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีก ที่เข้ามารับราชการ ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทำงานดีจนเป็นที่โปรดปราน ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกพระฤทธิ์กำแหง ตำแหน่งนี้ทำให้ ฟอลคอนร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ท้าวทองกีบม้าจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายหรูหรา แต่ด้วยความคิดมิชอบฟอลคอลที่ติดต่อกับฝรั่งเศสเป็นการลับให้ยึดสยามเป็นอาณานิคม จึงถูกจับในข้อหากบฏ เรียกตำแหน่งคืน ริบทรัพย์ และ ถูกประหารชีวิต มารีต้องถูกคุมขังเป็นเวลานานถึง ๒ปี แต่หลังการปลดปล่อยเธอได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ทำอาหารหวานประเภทต่างๆ ส่งเข้าไปในพระราชวังตามกำหนด การทำหน้าที่จัดหาอาหารหวานส่งเข้าพระราชวังทำให้ท้าวทองกีบม้าต้องประดิษฐ์คิดค้นขนมประเภทต่างๆ ขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา จากตำรับเดิมของชาติต่างๆ โดยเฉพาะโปรตุเกส ซึ่งเป็น ชาติกำเนิดของเธอ ท้าวทองกีบม้าได้พัฒนาโดยนำเอาวัสดุดิบพื้นถิ่นที่มีในประเทศสยามเข้ามาผสมผสาน จนทำให้เกิดขนมที่มีรสชาติอร่อยถูกปากขึ้นมามากมาย เมื่อจัดส่งเข้าไปในพระราชวังก็ได้รับความชื่นชมมาก ถึงขนาดถูกเรียกตัวเข้าไปรับราชการในพระราชวังในตำแหน่งหัวหน้าห้องเครื่องต้น มีหน้าที่ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวงเป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้เสวย ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ยกย่องชื่นชม มีเงินคืนท้องพระคลังปีละมากๆ ด้วยนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีเมตตา ทำให้ท้าวทองกีบม้าถ่ายทอดตำรับการปรุงขนมหวานแบบต่างๆ ให้แก่สตรีที่ทำงานใต้บังคับบัญชาของเธอจนเกิดความชำนาญ และสตรีเหล่านี้เมื่อกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ญาติพี่น้องยังบ้านเกิดของตนก็ได้นำตำรับขนมหวานไปเผยแพร่ต่ออีกทอดหนึ่ง จึงทำให้ตำรับขนมหวานที่เคยอยู่ในพระราชวังแผ่ขยายออกสู่ชนบทมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็น ขนมพื้นบ้านของไทย 


 credit : http://www.thaigoodview.com/node/4132 http://std.kku.ac.th/5030801648/412443/desert/story.php http://krupavadee.exteen.com

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

* - * - * - * - * - * - * - * - * - * >> ภาคใต้ << * - * - * - * - * - * - * - * - * - *

* - * - * - * - * - * - * - * - * - * >> ภาคใต้ <<
* - * - * - * - * - * - * - * - * - *






:: ขนมลา ::




                   ขนมลา เป็นขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้ ของประเทศไทย ซึ่งทำมาจากแป้งข้าวเจ้า เป็นขนมสำคัญหนึ่งในห้าชนิดที่ใช้สำหรับจัดเพื่อนำไป ถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นงานบุญประเพณีที่สำคัญของจังหวัดในภาคใต้ เช่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลาโดยอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ขนมลาปรุงขึ้นเพื่อเป็นเสมือนแพรพรรณเสื้อผ้า
ปัจจุบันขนมลามีจำหน่ายตลอด ทั้งปี ไม่ปรุงเฉพาะในเทศกาลอย่างที่เคยปฏิบัติมา ขนมลามี 2 ชนิดคือลาเช็ดและลากรอบ ขนมลาเช็ดจะใช้น้ำมันน้อย โรยแป้งให้หนา เมื่อสุกพับเป็นครึ่งวงกลม รูปร่างเหมือนแห ลากรอบ นำลาเช็ดมาโรยน้ำตาลแล้วนำไปตากแดด ในปัจจุบันมีการทำลากรอบแบบใหม่ โดยเพิ่มแป้งข้าวเจ้าให้มากขึ้น ใช้น้ำมันมากขึ้น เมื่อแป้งสุกแล้วม้วนเป็นแท่งกลม พักไว้จนเย็นจึงดึงไม้ออก





:: ขนมขี้มอด ::




               ขนมขี้มอด  ที่มีลักษณะคล้ายทรายละเอียด มีส่วนผสมหลักคือ ข้าวคั่ว มะพร้าวคั่ว น้ำตาล และเกลือ ผสมรวมกัน เพิ่มงาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มสารอาหาร นิยมรับประทานเป็นขนมกินเล่น เป็นขนมพื้นบ้านโบราณที่ภาคใต้หลายจังหวัดนิยมทำกันเพราะทำได้ง่าย และเป็นการถนอมอาหารได้อีกวิธีหนึ่ง




:: ขนมหวัก ::




                         ขนมหวัก ของกินพื้นบ้านปักษ์ใต้ ซึ่งกลายเป็นขนมหายาก และเหลือเพียง 3 เจ้าใน จ.สงขลา ด้วยสีเหลืองทองน่ารับประทาน สอดไส้กุ้งและถั่วงอก กินคู่กับน้ำจิ้มสูตรพิเศษ  ขนมหวักเป็นขนมไทยพื้นบ้านของภาคใต้ ซึ่งขณะนี้แทบไม่มีให้เห็น และเป็นสินค้าหายากในท้องตลาด คนรุ่นใหม่หลายคนอาจจะไม่รู้จักส่วนผสมของขนมหวัก ได้แก่ แป้งถั่วเหลือง กุ้งสด ถั่วงอก และน้ำจิ้ม แต่ตอนนี้ที่ทำอยู่เพื่อต้องการอนุรักษ์ขนมพื้นบ้านโบราณไว้เท่านั้น ไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก โดยจะทำเฉพาะในช่วงงานสำคัญ หรือกิจกรรมการท่องเที่ยว สูตรการทำขนมหวักนั้น จะนำถั่วเหลืองมาบดเป็นแป้งใส่ในหวัก หรือทัพพี ทรงครึ่งวงกลม โดยใส่ไส้ที่ทำจากถั่วงอกและกุ้งสด แล้วทับด้วยแป้งถั่วเหลืองอีกครั้ง จากนั้นนำไปทอดน้ำมันร้อนๆ ในกระทะทั้งจวัก จนแป้งสุกได้ที่เป็นสีเหลืองทองอร่าม แล้วยกมาแกะออก ซึ่งเมื่อสุกแล้วรูปร่างของขนมหวักจะคล้ายซาลาเปาทอด โดยรับประทานกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ และสำหรับที่มาของชื่อ ขนมหวัก นั้น ก็เรียกตามอุปกรณ์ที่ใช้ทำ คือ ทัพพี ซึ่งภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า หวัก” (จวัก) นั่นเอง





:: ขนมกอและห์ หรือขนมกวน ::





ขนมกอและห์ หรือขนมกวน เป็นขนมหวานพื้นบ้านของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดยะลา
วิธีการปรุงขนมกอและห์ นำข้าวเหนียว ๑ ลิตร ล้างน้ำให้สะอาดประมาณ ๒ ครั้ง แล้วแช่ข้าวเหนียวไว้ประมาณ ๒ - ๓ ชั่วโมง นำข้าวเหนียวที่แช่น้ำไว้ไปโม่ เทแป้งข้าวเหนียวที่โม่เสร็จแล้วลงในกะทะทองเหลือง ใส่น้ำตาลทราย ประมาณ ๑ - ๑ ๑/๒ กิโลกรัม ยกกะทะตั้งบนเตาไฟ ใช้ไม้พายกวนแป้งกับน้ำตาลไปเรื่อยๆ จนแห่งและเหนียว ยกเทใส่ถาดกระจายให้แป้งเต็มถาด วางไว้ให้เย็น เคี่ยวน้ำกะทิข้นๆ ประมาณ ๑ ถ้วย จนกะทิเย็นน้ำมัน และมีขี้มันเป็นสีแดงเข้ม ตักใส่ถ้วยไว้ ใช้มีดตัดขนมเป็นชิ้นๆ ขนาดเท่ากับ ขนมเปียกปูน แล้วตักน้ำมันและขี้มันราดลงบนขนมแต่ละชิ้น เสร็จแล้วนำไปรับประทานได้ขนมกอและห์ เป็นขนมหวานที่มีรสหวาน เหนียวนุ่มอร่อย มักนิยมทำรับประทานกันในบ้านหรือทำเลี้ยงในงานกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน นอกจากนั้นยังทำขายอยู่ทั่วไปในตลาดยะลา





:: ขนมขี้มัน ::




                           ขนมขี้มัน   มีที่มาจาก การเคี่ยวน้ำมันมะพร้าว เพราะ ขี้มัน เป็นของเหลือจากการเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวค่ะขนมขี้มัน เป็น ๑ ในขนมตระกูล ขี้ ทั้ง ๓ คือ ขี้มัน ขี้มอด ขี้หนู ขนมไทยโบราณที่ใกล้สูญพันธุ์ สมัยเด็กๆ ฉันทำขนมตระกูลนี้ขายยายว่างจากทำนาก็ขายขนมจีน ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และทำขนมขาย เป็นรายได้เลี้ยง ๒ ปากท้องยายเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวอาทิตย์ละหน เอาน้ำมันมะพร้าวไว้ผัดก๋วยเตี๋ยว ขี้มัน คือ ส่วนที่เหลือจากการเคี่ยวกะทิจนแตกมัน ได้น้ำมันมะพร้าวใสๆ ลอยข้างบน และส่วนที่เหลือก้นกระทะเป็นกากคือ ขี้มัน เคี่ยวน้ำมันมาก ก็ได้ขี้มันมากงานของฉันคือใช้อีโต้เฉาะเปลือกมะพร้าว ฉีกพดพร้าวออก ขูดผิวจนเรียบ ใช้สันอีโต้ทุบมะพร้าวเป็น ๒ ซีกเท่าๆ กัน (จะได้ขูดง่าย) นั่งบนกระต่าย ขูด ๆ ๆ จนมะพร้าวกองใหญ่กลายเป็นขุยขาวๆ เต็มกะมังยายคั้นกะทิเอง โดยมีมือเล็กๆ ของฉันเข้าไปแจมด้วยความสนุกกับการขยำมะพร้าวนิ่มๆ กลิ่นหอมชื่นใจของกระทิ เทกะทิใส่กระทะใบใหญ่บนเตา คราวนี้ก็ถึงเวลาที่น่าเบื่อคือ กวน กวน กวน ด้วยไม้พายไปเรื่อยๆ ไม่ให้หยุด เพราะกะทิจะไหม้ กะทิแตกมันและงวดขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายน้ำมันใสแจ๋วลอยอยู่บนขี้มัน กลิ่นขี้มันหอมไปทั่วบ้านขี้มัน มีสีน้ำตาล ลักษณะเหมือนขุยดิน กลิ่นหอม รสชาติหวานนิด ๆ มันหน่อยๆ ตามธรรมชาติของมะพร้าวขี้มัน กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมาก มื้อนั้นเราไม่ต้องทำกับข้าวขี้มันเหลือมาก ก็เอาไปทำขนมขี้มันขายได้ขนมขี้มันทำจากข้าวสาร แช่ข้าวสารค้างคืนให้นุ่ม เอาไปโม่ เป็นน้ำแป้งข้นๆ ใส่กระทะเติมกะทิ น้ำตาลโตนด ใส่กระทะกวน กวน กวน จนข้นเหนียว ยกกระทะเทลงถาดเคลือบใบใหญ่ แป้งร้อนไหลลงแผ่เต็มถาด ระหว่างรอให้ขนมจับตัวแข็ง ก็ไปฉีกใบตอง เจียนขนาดพอเหมาะ เหลาก้านมะพร้าวตัดเป็นไม้กลัด ใส่ตะกร้ารอไว้ขนมจับตัวแข็งแล้ว โรยหน้าด้วยขี้มัน เกลี่ยจนทั่ว ใช้มีดกรีดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนขายชิ้นละ ๑ สลึงแล้วเราสองคนก็ออกเดินขาย ขนมขี้มันอุ่นๆ ใหม่ๆ จากเตา กลิ่นขี้มันหอมฉุย เดินไม่ไกลก็ขายเกลี้ยงเวลากิน ขนมขี้มัน เนื้อแป้งเหนียวนิดๆ นุ่มหน่อยๆ หวานหอมน้ำตาลโตนด กับกลิ่นหอมของขี้มัน เป็นขนมไทยแท้ๆ ที่แสนอร่อยขนมขี้มันยังเห็นมีขายอยู่บ้างในตลาดชาวบ้านทางปักษ์ใต้ แต่ไม่อร่อยเหมือนแต่ก่อน แป้งยุ่ยๆ เพราะทำจากแป้งข้าวจ้าวสำเร็จรูป ไม่มีขี้มันโรยหน้า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเคี่ยวน้ำมันมะพร้าวอีกแล้ว



* - * - * - * - * - * - * - * - * - * >> ภาคอีสาน << * - * - * - * - * - * - * - * - * - *

* - * - * - * - * - * - * - * - * - * >> ภาคอีสาน <<  * - * - * - * - * - * - * - * - * - *



:: ขนมนางเล็ด ::




ขนมนางเล็ด เป็นขนมที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน จำหน่ายเพื่อเป็นรายได้เสริมของครอบครัว มีส่วนผสมข้าวเหนียวตากแห้ง น้ำกะทิ น้ำแตงโม น้ำตาลเป็นหลัก คุณค่าทางอาหารให้พลังงานแก่ร่างกาย 



:: ดอกจอก ::





ดอกจอก เดิมคือวัชพืชประเภทจอกและแหนที่เกิดตามห้วยหนองคลองบึง ซึ่งใบของดอกนั้นจะอัดเรียงกันสวยงาม มีกลุ่มชาวบ้านได้แนวคิดทำขนมในรูปแบบของดอกจอก ทำจากแป้งข้าวเจ้า น้ำตาล กะทิ เนย มีคุณค่าทางอาหารคือโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ดอกจอกถือว่าเป็นขนมไทยดั้งเดิมชนิดหนึ่งเหมือนกัน 




:: กาละแม ::





กาละแม เป็นขนมไทยที่ใช้ในงานมงคล งานแต่งงานใช้ในขบวนแห่ขันหมาก เป็นของฝากที่เหมาะมอบให้กับคนรัก หรือผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพนับถือ เป็นขนมที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้ทำติดต่อกันมาร่วม 40 ปี และปัจจุบันถือว่าเป็นของฝากประจำจังหวัดสุรินทร์ 



:: ขนมเทียนแก้ว ::




ขนมเทียนแก้ว เป็นขนมที่มีกลิ่นหอม ชวนรับประทานใช้ใบตองห่อหุ้มเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาดเล็กพอเหมาะพอคำ ขนมเทียนแก้วกเป็นขนมพื้นบ้านที่ใช้ในงานพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบุญ ซึ่งมักจะตกแต่งในถาดที่ทำด้วยใบตองและประดับดอกไม้ให้ดูสวยงาม



:: กระยาสารท ::






กระยาสารท เป็นขนมที่ทำด้วยงาและข้าวเม่าข้าวตอก กวนกับน้ำตาล แต่เดิมนิยมทำกันเฉพาะในเทศกาลเดือนสิบ ต่อมาลูกค้ามาสั่งซื้อเป็นของฝากตลอดทั้งปี จึงได้ทำขายอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีจำหน่ายทั่วไปในจังหวัดบุรีรัมย์ 


* - * - * -  * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -* - * - * - *




* - * - * - * - * - * - * - * - * - * >> ภาคกลาง << * - * - * - * - * - * - * - * - * - *

* - * - * - * - * - * - * - * - * - *
 >> ภาคกลาง << 
 * - * - * - * - * - * - * - * - * - *



                ส่วนใหญ่ทำมาจากข้าวเจ้า เช่น ข้าวตัง นางเล็ด ข้าวเหนียวมูล และมีขนมที่หลุดลอดมาจากรั้ววัง จนแพร่หลายสู่สามัญชนทั่วไป เช่น ลูกชุบ หม้อข้าวหม้อแกง ฝอยทอง ทองหยิบ เป็นต้น


:: ลูกชุบ ::




ลูกชุบ เป็นขนมประจำถิ่นโปรตุเกส แพร่หลายมาถึงย่านเมดิเตอร์เรเนียนแถบฝรั่งเศสตอนใต้ เพราะอยู่ใกล้บ้าน เช่น เมืองนีซ เมืองคานส์ ก็มีขนมลูกชุบมากมายทั้งเมือง ลูกชุบ เป็นขนมประจำถิ่นของ แคว้นอัลการ์วิ โดยโปรตุเกสใช้เม็ด อัลมอนด์ เป็นส่วนผสมสำคัญ แต่บ้านเราไม่มี จึงต้องคิดด้วยการใช้ ถั่วเขียว แทน เนื่องจากขนมโปรตุเกสจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ความชำนาญพิเศษ จึงจะได้ขนมหวานที่รสชาติดีออกมาสีสันสวยงาม
                ความหมายของขนมลูกชุบ  ความน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ให้ผู้น้อย

ที่มา : http://auto.igetweb.com



:: ขนมตาล ::




ขนมตาล เป็นขนมไทยดั้งเดิม เนื้อขนมมีลักษณะเป็นแป้งสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นตาลหอมหวาน ขนมตาลทำจากเนื้อตาลจากผลตาลที่สุกพอดี ในปัจจุบัน หาทานขนมตาลรสชาติอร่อยได้ยาก เนื่องจากปริมาณการปลูกต้นตาลที่ลดลง ขนมตาลที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการมักใส่เนื้อตาลน้อย เพิ่มแป้งและเจือสีเหลืองแทน ซึ่งทำให้ขนมตาลมีเนื้อกระด้าง ไม่หอมหวาน และไม่อร่อย
                ความหมายของขนมตาล หมายถึงชีวิตที่หวานราบรื่น





:: ทองหยอด ::



                ทองหยอด  เป็นขนมโบราณชนิดหนึ่งซึ่งท่านผู้หญิงวิชเยนทร์ หรือนามเดิม มารี นินยา เดอ กีย์มาร์ เชื้อสายญี่ปุ่น โปรตุเกส มีตำแหน่งเป็นท้าวทองกีบม้าเป็นตำแหน่งผู้ปรุงอาหารหลวงโดยท่านได้นำเอาความรู้ที่มีมาแต่เดิมผสมผสานกับความรู้ท้องถิ่น ปรุงแต่งอาหารขึ้นใหม่ จนเป็นที่รู้จัก คือ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง นับเป็นขนมชั้นดี ใช้ในงานมงคลต่าง ๆ ซึ่งคนไทยเรายังถือเคล็ดกันอยู่จึงใช้ขนมที่ขึ้นต้นด้วยทอง เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลตามชื่อขนม

            ลักษณะที่ดีของทองหยอด
                1. เนื้อเรียบเนียน เป็นมันเงา
                2.ด้านในและด้านนอกของเนื้อทองหยอดมีความนุ่มเหมือนกันไม่เป็นไตแข็ง

                3. ไม่มีกลิ่นคาว   



:: ข้าวเหนียวมูน ::




ข้าวเหนียวมูน  เป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานมานานแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ข้าวเหนียวมูนมีรสชาติอร่อย ซึ่งแต่ละเจ้าต่างจะมีเทคนิคการทำที่แตกต่างกันไป หัวใจสำคัญของการทำข้าวเหนียวมูนไม่ต่างกัน คือ ข้าวเหนียวมูนต้องมีรสชาติเข้มข้นทั้งหวาน มัน และหอม

 การเลือกส่วนประสม
ข้าวเหนียวสำหรับที่จะนำมามูน ควรเลือกซื้อข้าวเหนียวคือไม่ให้ใหม่มากหรือเก่าเกินไป เมล็ดยาวเหมือนที่เปรียบเทียบว่าเป็นข้าวเหนียวเมล็ดคล้ายเขี้ยวงู สีไม่ควรออกสีเหลือง มะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่มีเนื้อหอมละเอียด เนื้อมาก ควรเลือกซื้อมะม่วงจากสวน ถ้ารสชาติของมะม่วงอ่อนแบบจำต้องสุก และจะออกรสอมเปรี้ยว ไม่เหมาะสำหรับทานกับข้าวเหนียวมูน
ที่มา : http://www.ismed.or.th



ขนมเทียนแก้ว เป็นขนมที่มีกลิ่นหอม ชวนรับประทานใช้ใบตองห่อหุ้มเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขนาดเล็กพอเหมาะพอคำ ขนมเทียนแก้วกเป็นขนมพื้นบ้านที่ใช้ในงานพิธีต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบุญ ซึ่งมักจะตกแต่งในถาดที่ทำด้วยใบตองและประดับดอกไม้ให้ดูสวยงาม



:: ขนมกล้วย ::




ขนมกล้วย รสชาติหวานนิดๆ เค็มประแล่มๆ มีความเหนียวหนึบเล็กน้อย และนิ่มนวล มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกล้วย มีส่วนผสมสำคัญคือ กล้วยน้ำว้า ที่เป็นผลไม้มากประโยชน์ ทางโภชนาการ มีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 , วิตามินบี 2 , วิตามินเอ , ไนอะซิน
                นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นยาพื้นบ้าน รักษาโรคต่างๆ แบบธรรมชาติบำบัด ได้ เช่น ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร แก้โรคท้องเสีย โรคบิด สามารถเป็นยาระบายอ่อนๆ ผู้ที่มีอาการท้องผูก ลองรับประทาน กล้วยน้ำหว้าสุก ก่อนอาหาร สักครึ่งชั่วโมง ทั้ง 3 มื้อๆ ละ 2 – 3 ลูก
ที่มา : http://www.bloggang.com 

* - * - * -  * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -* - * - * - *